24 มี.ค. 2551

ทัศนคติ-ความสัมพันธ์ บันไดความสำเร็จ Sales Talent

ทัศนคติ-ความสัมพันธ์ บันไดความสำเร็จ Sales Talent

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ

"เพียงแค่คุณเชื่อมั่นในตัวเองว่า คุณคือสินค้าที่ดีที่สุดในโลก คุณก็จะประสบความสำเร็จในอาชีพได้อย่างมั่นคง"

สิ่งที่ "โจ จีราร์ด" เขียนไว้ในหนังสือ ยอดนักขายบันลือโลก อาจโดนใจหลายคน แต่ในทางปฏิบัติจะทำอย่างไรให้ก้าวไปให้ถึงจุดนั้น

ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา "คม สุวรรณพิมล" เจ้าของหนังสือ best seller ด้านการพัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จ ได้หอบความรู้ เคล็ดลับดีๆ ในการก้าวสู่ sales talent มา coach ให้เซลส์ที่ต้องการก้าวสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ฟัง

หัวใจสำคัญของการก้าวสู่ sales talent ที่โค้ชคมเน้นย้ำอย่างมากในงานสัมมนา ครั้งนี้คือ เรื่องการสร้างทัศนคติที่ดีและการสร้างห่วงโซ่ความสัมพันธ์

"คม" ได้หยิบผลสำรวจของนโปเลียน ฮิลล์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองเล่มแรกของโลก เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาชี้ให้เห็นว่า คนกลุ่มนี้มีคุณสมบัติอย่างไร จึงสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าได้อย่างสง่างาม

โดยหลักๆ คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.ต้องมีเป้าหมายในการทำงานที่แน่นอน 2.มีความเชื่อมั่นในตัวเอง 3.มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

เมื่อหันมาดูเซลส์ จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ?

ขั้นแรกคงต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมา

จากผลการสำรวจพบว่า เซลส์ 82% ไม่สร้างความแตกต่างของตนเองได้

86% เซลส์มักถามคำถามผิด

82% เซลส์เห็นราคาเป็นเรื่องสำคัญ จึงใช้วิธีลดราคา

เมื่อปัญหาของเซลส์เป็นเช่นนี้ จะขายสินค้าอย่างไร ?

"คม" ให้นิยามการขายของเซลส์ว่า จะต้องเป็นผู้นำคุณค่าไปให้ผู้บริโภค ไม่ใช่นำสินค้าไปให้ผู้บริโภค ฉะนั้นสิ่งที่เซลส์ จะต้องรู้ คือ สินค้าในมือมีคุณค่าอะไรต่อลูกค้า แล้วนำคุณค่านั้นไปให้ลูกค้า

ยกตัวอย่าง โทรศัพท์มือถือ แทนที่เซลส์จะไปบอกลูกค้าว่า โทรศัพท์รุ่นนี้ราคาเท่าไหร่ ปุ่มไหนทำงานอย่างไรบ้าง จะต้องบอกลูกค้าเสมือนลูกค้าได้เป็นเจ้าของสินค้านั้นแล้ว เช่น คุณจะไม่พลาดการติดต่อในทุกๆ สถานที่ แม้ว่าจะอยู่หลังเขาก็ตาม เมื่อลูกค้าได้ฟัง เขาจินตนาการตามไปเรื่อยๆ แล้วจะมองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ

หากจะถามว่า คุณค่าของสินค้าคืออะไร คำตอบคือสิ่งที่อยู่ในใจของลูกค้านั่นเอง

"การบอกเล่าคือการขาย แต่ถ้าต้องการให้ผู้บริโภคซื้อสินค้า จะต้องถาม"

เคล็ดลับการขายโดยใช้วิธีตั้งคำถาม หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยิน แต่ "คม" บอกว่า วิธีการนี้จะทำให้ลูกค้าลืมเรื่องราคาไปเลย เพราะคุณค่าที่ลูกค้าได้รับนั้นสูงกว่าราคา

เพราะฉะนั้นถ้าสามารถสร้างคุณค่าให้กับสินค้าได้เยอะ ราคาอาจจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าเลยก็เป็นได้

แต่อย่างไรตามการจะนำเสนอคุณค่าของสินค้าให้ประสบความสำเร็จคงต้องอาศัยพื้นฐานของเซลส์ที่ดีประกอบ

เซลส์ที่ประสบความสำเร็จกว่า 90% มีทัศนคติทางบวก ฉะนั้นสิ่งที่เซลส์ต้องพัฒนาอันดับแรก คือ ทัศนคติ ซึ่งต้องสร้างจากภายใน เพราะถ้าไม่มีภายในใจแล้วก็จะไม่ปรากฏออกมาภายนอก

"คนที่มีทัศนคติทางบวกจะมองเห็นแต่โอกาส ขณะที่คนที่มีทัศนคติทางลบจะมองเห็นแต่ปัญหา สุดท้ายการขายก็ล้มเหลว"

การเปลี่ยนทัศนคติคงไม่สามารถทำได้ ชั่วข้ามคืน แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าสามารถทำได้ก็จะเปลี่ยนชีวิตจากที่เคยเป็นคนโชคร้าย มาเป็นคนโชคดีได ้ไม่ยาก

โดยสิ่งที่ต้องทำ คือต้องหยุดกล่าวโทษเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต หยุดกล่าวโทษผู้อื่น หันมาทำความรู้จักลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น

ยืนหยัดจนกว่าจะได้รับคำตอบ

และทำงานอย่างเต็มที่

สุดท้ายสำคัญมาก ต้องคิด ก่อนพูด

"คนที่มีทัศนคติที่ดี หากเจอสถานการณ์ที่ลูกค้าเดินเข้ามาต่อว่า เขาจะกล่าวคำว่า ขอบคุณ แล้วถามตัวเองต่อว่า ฉันจะทำในสิ่งนี้ให้ดีได้อย่างไร จากนั้นหาทางพัฒนา ตัวเองต่อไป"

นี่คือเคล็ดลับในการมองปัญหาที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้ายให้คลี่คลายไปในทางที่ดีได้ เพราะเมื่อมองความล้มเหลว ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ไม่ใช่ตัวบุคคล การแก้ไขก็จะง่ายมากขึ้น

"คม" บอกว่า คนที่สนใจในความสำเร็จจะต้องเรียนรู้ที่จะมองความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของกระบวนการก้าวสู่ความเป็นสุดยอด ฉะนั้นถ้าอยากเป็นเซลส์ที่ดีจะต้องพัฒนาทัศนคติ และฝึกพูดคำเหล่านี้ให้ติดปาก นั่นคือ เยี่ยม ไม่มีปัญหา เป็นปัญหาที่ดี ใช่เลย เด็ดมาก ผมคิดว่าเราช่วยคุณได้

ถ้าเซลส์ทุกคนเข้าใจความเป็นจริง จะรู้ว่า สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ทัศนคติที่ดีคือ คอนเน็กชั่นหรือความสัมพันธ์ที่ดี เพราะประมาณ 50% ของความสำเร็จในการขายได้มาจากมิตรภาพที่ดี

ซึ่งในหนึ่งคนสามารถสร้างคอนเน็กชั่นได้ลึกถึง 6 ระดับ

วิธีสร้างคอนเน็กชั่นมีด้วยกัน 2 รูปแบบ

แบบแรก คือ การสร้างคอนเน็กชั่นแบบตัวต่อตัว ทำอย่างไรให้ลูกค้าคุยกับคุณ

จากจุดนี้จะเห็นว่า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า "คุณรู้จักใคร" แล้ว แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า "ใครรู้จักคุณ"

กลยุทธ์ในการสร้างความสัมพันธ์ฉบับอาจารย์คมบอกไว้ว่า ต้องเริ่มต้นด้วย

ความเป็นมิตร กำหนดภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตนเอง จะช่วยสร้างความมั่นใจได้ระดับหนึ่ง เวลาคุย ต้องมองตาเพื่อสร้างความนับถือ ที่สำคัญ ต้องมีทัศนคติเชิงบวกเพื่อที่จะทำ ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นบวก และให้ความสนใจคนอื่น ก่อนให้คนอื่นสนใจในตัวเอง

ฉะนั้นก่อนที่จะสร้างคอนเน็กชั่นจะต้องหาคุณค่าในตัวเองให้เจอก่อน แล้วนำคุณค่านั้นไปมอบให้คนอื่น จะทำให้ตัวเอง ดูดี แล้วคุณค่านี้จะได้รับการบอกต่อไปยังเพื่อนใหม่อีก 6 คน

แบบที่สอง คือ การสร้างเครือข่าย ตรงนี้ทำได้ไม่ยาก เคล็ดลับข้อหนึ่งคือ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 75% ในการพูดคุยกับคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และต้องเตรียมพร้อมก่อนที่จะปรากฏตัวเพื่อสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนใหม่ ไม่ว่าจะไปงานสัมมนา งานประชุมธุรกิจ หรือแม้แต่การประชุมสมาคมผู้ปกครอง ดูหนัง ดูละคร เซลส์มืออาชีพสามารถสร้างเครือข่ายได้หมด เพียงแต่ว่าจะเอาคุณค่าอะไรในตัวเองไปบอกกับคนอื่น

ฉะนั้นวันนี้ใครอยากประสบความสำเร็จในอาชีพเซลสต้องหา "คุณค่า" ในตัวเอง ให้เจอ

19 มี.ค. 2551

SocialNetworking

เวลานี้ถ้าใครไม่เล่น hi5 คงต้องเรียกว่า "เชย" มีการประเมินกันแล้ว มีคนไทยเล่น hi5 ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน (หลังจากปิดต้นฉบับยอดอาจเพิ่มมากกว่านี้แล้ว) ข่าวล่าสุดยังแจ้งอีกว่า คนไทยเข้าเว็บ hi5 มากที่สุด แซงหน้า Google ซึ่งเคยครองอันดับ 1 ไปแล้ว

ถึงกับมีการแบ่งการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเมืองเวลานี้ ออกเป็น 4 ช่วง คือ กิน พักผ่อน ทำงาน เวลาที่เหลือเป็นของ hi5

เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่เล่น hi5 เป็นเพราะรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว มีเพื่อนอยู่ด้วยตลอดเวลา พอว่างก็เข้าไปโพสต์รูป เขียนทักทาย หรือคอมเมนต์เพื่อนๆ เป็นเครือข่ายที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ มีเพื่อนใหม่ๆ มาให้รู้จัก และบางครั้งไปเจอเพื่อน หรือแฟนเก่าสมัยเรียนประถมหรือมัธยม ก็มาเจอกันใน hi5

ใช่จะมีเฉพาะวัยรุ่นเท่านั้นที่นิยม hi5 หลายคนที่เล่นเป็นคนทำงาน เป็นผู้บริหาร ดูอย่างคุณ "นพพร วิฑูรชาติ" ซีอีโอ สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ ก็เล่น hi5 มา 3 ปี คุณนพพร เล่าว่า ส่วนใหญ่เล่นกับลูกน้องในที่ทำงาน และเพื่อนที่สนิทกันจริงๆ

ที่น่าสนใจก็ คือ อาการฮิตติด hi5 ไปโดนใจนักการตลาด นักโฆษณาเข้าอย่างจัง ด้วยโปรไฟล์ข้อมูล อายุ เพศ การศึกษา เป็นข้อมูลพื้นฐานชั้นดีให้กับสินค้าและบริการ และเครือข่ายสังคมแบบ hi5 สามารถสร้างความสัมพันธ์จากเพื่อนสู่เพื่อน เป็นพลังของเครือข่าย เกิดขึ้นกับโลกยุค Social Networking

เว็บไซต์ hi5 หรือ Facebook เป็นตัวอย่างของพลังเครือข่าย Social Networking ที่กำลังมาแรงมาก นักการตลาดและนักธุรกิจต้องตามให้ทัน ยังไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองหาโอกาสได้มากกว่ากัน

บางธุรกิจที่มีลูกค้ามากๆ เป็นหลักล้านราย ก็สามารถสร้าง Social Networking ขึ้นเอง เช่น กลุ่มทรู สร้างเว็บมินิโฮม เครือข่ายให้ลูกค้าแสดงตัวตน โดยได้ไอเดียมาจากเกาหลี หรือแฮปปี้ไว้รัส ของดีแทค ที่สร้างเครือข่ายเด็กมัธยม ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการสร้าง Social Networking เป็นของตัวเอง

18 มี.ค. 2551

คาด เฟดหั่นดอกเบี้ยแรง กดดัน กนง ลดอัตราดอกเบี้ย

นักวิชาการ “นิด้า” ชี้ไทยอาจต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น หากธนาคารกลางสหรัฐ ลดดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมวันที่ 18 มี.ค.นี้ ชี้ธุรกิจอสังหาฯ จะได้รับประโยชน์มากที่สุดเมื่อรวม 3 ปัจจัย ทั้งลดดอกเบี้ย มาตรการภาษี และโครงการรถไฟฟ้า

วันนี้ (17 มี.ค.) นายกำพล ปัญญาโกเมศ ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาการลงทุนและการจัดการความเสี่ยง คณะบริหารธุรกิจ นิด้า คาดว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 18 มี.ค.นี้ จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกประมาณ 0.50% แต่หากเฟดลดดอกเบี้ยลงแรงกว่าที่ตลาดคาดไว้ จะมีผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว จะต้องดูผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อด้วย เนื่องจากเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่สำคัญ และถูกติดตามอย่างใกล้ชิดจากธนาคารกลางในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ จีน รัสเซีย อังกฤษ รวมถึงไทย

นายกำพล กล่าวว่า สำหรับผลกระทบที่จะต่อเนื่องมายังตลาดเงินตลาดทุนของไทยคือ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของไทย น่าจะต้องปรับลดลง และตลาดหุ้นน่าจะได้รับผลทางบวกในระยะสั้นเช่นกัน โดยธุรกิจที่จะได้รับผลดีอย่างชัดเจน คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนอกจากเรื่องดอกเบี้ยแล้ว

ยังได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลทางด้านภาษีที่เพิ่งประกาศออกมา และความชัดเจนเรื่องของโครงการลงทุนในรถไฟฟ้าสายต่างๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐลดดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะยิ่งอ่อนค่าลงอีกเมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ รวมถึงเงินบาท ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งผู้เกี่ยวข้องจะต้องหาทางรับมือในเรื่องนี้

“ตอนนี้สหรัฐฯมีเครื่องมือไม่มากนักในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หากลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้แล้วยังไม่ได้ผลก็คงลำบาก เพราะถ้าจะลดดอกเบี้ยลงไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องเงินเฟ้อ ยิ่งในภาวะที่ราคาน้ำมันแพงเช่นปัจจุบันนี้ ก็ยิ่งทำให้การแก้ปัญหายากยิ่งขึ้น” นายกำพล กล่าวสรุปทิ้งท้าย

17 มี.ค. 2551

ดอลล์ยวบจุดชนวน ศก.โลกป่วนยกใหม่

โพสต์ทูเดย์ — เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าต่อเงินสกุลหลักของโลก ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป นักวิเคราะห์ชี้อาจถึงขั้นกลายเป็นวิกฤตการณ์การเงินและเศรษฐกิจครั้งล่าสุด

นักวิเคราะห์ชี้การอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ของเงินเหรียญสหรัฐ บวกกับกระแสวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มช่วงขาลงของมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก เสี่ยงที่จะกลายเป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจและการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ และอาจรุนแรงพอๆ กับวิกฤตการณ์ครั้งที่แล้วๆ มา

“เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของวิกฤตการเงินการธนาคารครั้งประวัติศาสตร์ บวกกับวิกฤตการณ์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของแท้” เวโรนิก ริช-ฟลอเรส นักวิเคราะห์จากธนาคารโซซิเอเต เจเนราล กล่าวพร้อมชี้ว่า ขณะนี้ตลาดต่างเตรียมรับมือกับการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐในระดับที่เลวร้ายกว่านี้

ด้าน ชาร์ลส์ วายพลอตซ์ จากมหาวิทยาลัยเจนีวา กล่าวว่า เรากำลังเผชิญกับการอ่อนค่าของ เงินเหรียญสหรัฐในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ยุติมาตรฐานอัตราแลกเปลี่ยนเบรตตันวูดเมื่อทศวรรษที่ 70
“เมื่อพิจารณาจากตัวเลขงบประมาณขาดดุลและตัวเลขขาดดุลการค้าอย่างมโหฬารของสหรัฐ การที่เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าต่อเงินยุโรปมาแตะที่ 1.5 ถือเป็นแนวโน้มที่น่าจะเกิดขึ้นและจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การอ่อนค่าของสกุลเงินมีส่วนกระตุ้นการส่งออกและชะลอการนำเข้าของสหรัฐก็จริง กระนั้นก็ตามหากค่าเงินยังอ่อนตัวลงมากกว่านี้ จะยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้น” วายพลอตซ์ กล่าว

อีริก แวร์กโนด์ จากบีเอ็นพี พาริบาส์ กล่าวว่า การที่เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงมาต่ำกว่า 1 ฟรังก์สวิส เป็นครั้งแรกและต่ำกว่า 100 เยน นับตั้งแต่ปี 2538 ได้กระตุ้นเตือนถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลกคราวที่ผ่านๆ มา หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาแทรกแซงความเคลื่อนไหวของค่าเงิน จำเป็นจะต้องใช้มาตรการที่สัมฤทธิผลอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจเสี่ยงที่จะบั่นทอนความน่าเชื่อถือทางการเงินของตัวเอง

ด้านสถานการณ์เศรษฐกิจของญี่ปุ่น หลังจากเงินเยนแข็งค่าขึ้นมาเกิน 100 เยนต่อเหรียญสหรัฐ ได้ก่อให้เกิดกระแสวิตกเกี่ยวกับ ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัวมาไม่นาน โดยเฉพาะภาคส่งออกซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ ที่จะเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก

นักวิเคราะห์ชี้ว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อาจต้องหั่นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ก่อนที่ภาคธุรกิจจะได้รับความเสียหาย แต่ไม่สนับสนุนให้ใช้มาตรการแทรกแซงความเคลื่อนไหวของ ค่าเงิน เพราะอาจก่อให้เกิดความ บาดหมางใจกับสหรัฐ ไม่เพียง เท่านั้นการใช้มาตรการดังกล่าวยังมีผลลัพธ์ในวงจำกัดเท่านั้น

15 มี.ค. 2551

เตรียมตัวรับมือ กับความถดถอยของเศรษฐกิจโลก

จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับเศรษฐกิจและค่าเงินของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของประเทศจีนและอินเดียที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจของโลกจะเกิดอาการ "ช็อค" เพราะราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ไม่สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้น ประชากรทุกประเทศจะเริ่มประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น อันจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง และจะมีผลเชื่อมโยงกันทั่วโลกให้เศรษฐกิจในปีนี้เติบโตได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ค่อนข้างมาก

สำหรับประเทศไทย แม้จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารงานแล้ว แต่ปัญหาบางอย่างก็ยากที่รัฐบาลจะสามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะในเรื่องของราคาสินค้า ที่รัฐบาลจะพยายามลดราคาสินค้าลง ซึ่งเป็นการฝืนธรรมชาติ เพราะต้นทุนทุกอย่างปรับเพิ่มขึ้น แต่จะบังคับให้ปรับราคาสินค้าลดลงคงมีความเป็นไปได้น้อย นอกจากนั้นการพยายามตรึงราคาน้ำมัน เป็นวิธีการคิดที่ผิดพลาดอย่างมาก เพราะการตรึงราคาน้ำมันจะมีประโยชน์สำหรับกรณีราคาเพิ่มขึ้นในระยะสั้นๆ แต่จากการวิเคราะห์แล้ว ราคาน้ำมันน่าจะทรงตัวในระดับสูงไปอีกนาน

การแก้ปัญหาของประเทศ ตอนนี้อย่ามองเพียงตัวเลข GDP ที่ต้องการได้เพิ่มขึ้น แต่หันมาให้ความสำคัญกับความสุขของประชาชน ซึ่งบางครั้งอาจจะสวนทางกับแนวคิดแบบเดิมๆ ลองหันมาใช้แนคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง ชีวิตของคนไทยอาจจะมีความสุขมากกว่าปัจจุบัน

14 มี.ค. 2551

เงินเฟ้อจีน-อินเดียพุ่ง ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก

จีนเป็นประเทศหนึ่งที่ภาวะเงินเฟ้อพุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 8.7% เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมที่อยู่ที่ 7.1% ซึ่งถือเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 7.9%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า ปัจจัยหลักๆ ที่ดันให้เงินเฟ้อในจีน พุ่งสูงขึ้นมาจากราคาสินค้าที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาอาหารในจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 23% หลังจากที่ต้องเผชิญกับพายุหิมะที่รุนแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ ทำให้พืชผลและเส้นทางคมนาคม ขนส่งถูกทำลายจนส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนในประเทศ ซึ่งทำให้รัฐบาลจีนต้องชั่งน้ำหนักในการปล่อยให้ราคาสินค้าอยู่ในระดับสูง ซึ่งเสี่ยงต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจะทำให้ความต้องการ ส่งออกชะลอตัวจนกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม

สำนักงานสถิติจีนระบุว่า รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการเรื่องนี้และออกมาตรการที่ได้ผล ท่ามกลางความยากลำบากในการควบคุมเงินเฟ้อตลอดปีที่พุ่งสูงขึ้นจากพายุหิมะ ซึ่งทางการจีนตั้งเป้าที่จะทำให้เงินเฟ้อในปี 2551 อยู่ที่ระดับ 4.8%

ด้านยักษ์เอเชียอีกราย "อินเดีย" ก็เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 เดือน ท่ามกลางราคาอาหารผัก ผลไม้ ที่พุ่งขึ้น ส่งผลให้แบงก์ชาติอินเดียอาจมีโอกาสน้อยลงที่จะลดดอกเบี้ย

รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมระบุว่า เงินเฟ้อ แตะระดับ 5.02% ในช่วงสุดสัปดาห์วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ทำให้รัฐบาลอาจต้องดำเนินมาตรการเพื่อรับมือเงินเฟ้อ หลังจาก คาดการณ์ว่าผลผลิตพืชช่วงฤดูหนาว เช่น ข้าวสาลี ข้าว อาจน้อยลงในปีนี้ โดยมองว่าผลผลิตรวมอาจลดลงจาก 106.7 ล้านตัน เหลือ 103.4 ล้านตัน ในปีนี้ และในส่วนของข้าวสาลีลดลงจาก 75.8 ล้านตัน เมื่อปีกลาย เหลือ 74.8 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตข้าวอาจลดจาก 13.2 ล้านตัน เหลือ 12.6 ล้านตัน

ภาวะเศรษฐกิจโลก จึงเริ่มมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง เพราะยักษ์ใหญ๋ทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา จีน อินเดีย กำลังประสบปัญหา ใครที่เป็นผู้ประกอบธูรกิจภาคการส่งออก คงต้องเตรียมตัวในการหาตลาดเกิดใหม่ เพื่อรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งอาจจะมาถึงในอีก 3 ปีข้างหน้า เตรียมตัวเอาไว้ก่อนปลอดภัยกว่า

13 มี.ค. 2551

"อีโคดีไซน์" ธุรกิจ-แพ็กเกจจิ้งเพื่อสิ่งแวดล้อม

ที่มา: "ประชาชาติธุรกิจ" วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3983 (3183)

"อีโคดีไซน์" ธุรกิจ-แพ็กเกจจิ้งเพื่อสิ่งแวดล้อม

ภาพจาก : http://sweden.procarton.com

เทรนด์ของผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมกำลังมาแรง ทว่าสำหรับเมืองไทยทุกคนอาจจะมองแตกต่างกันในแง่ที่ว่า หากต้องการพัฒนาแนวอีโคดีไซน์แล้วควรจะเริ่มจากตรงไหน และมักมีคำถามจากผู้ประกอบการว่าแพ็กเกจจิ้งจากพลาสติกเป็นอีโคดีไซน์หรือเปล่า ถ้าหากนำกลับมาใช้ใหม่ได้โดยไม่ทำลายธรรมชาติเพิ่ม หรือในอีกมุมหนึ่งแพ็กเกจจิ้งจากธรรมชาติเป็นการทำลายธรรมชาติหรือไม่

อะไรเป็นตัวชี้วัดเมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจได้ว่าจะพัฒนาธุรกิจของท่านไปในแนวทางของอีโคดีไซน์ได้อย่างไร

"ประชาชาติธุรกิจ" สรุปเนื้อหาการอบรมเรื่องการประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงนิเวศวิทยาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทยครั้งที่ 1 ที่จัดโดยศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ เพื่อให้เอสเอ็มอีจับทิศทางและเริ่มต้นการปฏิวัติรูปแบบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

LCA ประเมินอีโคโปรดักต์

ก่อนที่ผู้ประกอบการจะตัดสินใจเลือกที่จะพัฒนากระบวนการผลิต หรือแม้แต่การออกแบบแพ็กเกจจิ้งจะต้องประเมินวัฏจักรของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายว่าจะเลือกใช้วัสดุอะไรด้วย วิธีการผลิตแบบไหน เมื่อผลิตออกมาแล้วบรรจุภัณฑ์จากกระดาษหรือพลาสติกอะไรคุ้มค่ากว่ากัน

สิ่งเหล่านี้เราใช้เครื่องมือในการประมวลผลที่เรียกว่า LCA หรือ life cycle assessment เครื่องมือที่ว่านี้คือการเข้าไปศึกษาในหลายๆ ประเด็น เช่น ผลกระทบต่อสังคม ปริมาณพลังงานที่ใช้ การขนส่ง การบำรุงรักษา การรีไซเคิล วัฏจักรของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
ภาพจาก : http://sweden.procarton.com

เพื่อที่จะบอกว่าตู้เย็นหนึ่งตู้ที่ออกแบบและผลิตมานั้นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ มีอายุการใช้งานคุ้มค่า

หรือไม่ สามารถแยกชิ้นส่วนแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้หรือไม่ รวมทั้งกระบวนการผลิตใช้พลังงานไปเท่าไรเพื่อที่จะประมวลแล้วว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับอนาคต

ผู้ประกอบการสามารถเริ่มจาก LCD เองในโรงงานของท่าน หรือการจ้างที่ปรึกษาเข้ามาช่วยซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูง และหากเป็นโรงงานขนาดเล็กๆ อาจจะประหยัดต้นทุนโดยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปช่วยใน การประเมินผลก็ได้ เช่น http://www. ecodesign.at/pilot/ONLINE/DEUTSCH/

พลาสติก-ขวด-กระดาษ

ทิศทางที่แตกต่าง

ณกร คงสายสินธุ์ ผู้จัดการส่วนเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ วิทยากรจากกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด ผู้ผลิตกล่องลูกฟูกแนะให้ฟังว่าบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกในอนาคตมีการพัฒนาให้มีน้ำหนักเบามากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งโดยแนวทางที่ทั่วโลกมีการนำมาพัฒนาปรับปรุงก็คือ ทำให้กระดาษมีเส้นใยที่มีความเหนียวมากขึ้น เบาขึ้น
ภาพจาก : http://www.canai.org

เช่น กระดาษกล่องบางชนิดที่ใช้วิธีการอัดเป็นแผ่นหนาๆ ซึ่งมีน้ำหนักมากก็จะมีการปรับเปลี่ยนให้ด้านในเป็นลอนเล็กๆ แบบเดียวกับกระดาษลูกฟูกกล่องใหญ่ๆ แทนการนำเอากระดาษมาอัดเป็นแผนเพื่อให้แข็งแรง หรือบรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับบรรจุขวดเบียร์ ขวดไวน์ คูลเลอร์ 6 ขวด ที่เราเห็นเป็นกล่องกระดาษ เจาะเป็นหูหิ้วด้านบน ในอนาคตอาจจะมีการออกแบบให้กระดาษมีความแข็งแรงมากขึ้น เพื่อที่จะลดวัตถุดิบและใช้ยึดเฉพาะปากขวดแทนการหุ้มขวดทั้ง 6 เหมือนในปัจจุบัน

สำหรับกระบวนการในการผลิตแก้ว มีแนวคิดแตกต่างกัน เพราะแก้วนั้นเป็นวัสดุจากธรรมชาติอยู่แล้ว แต่กระบวนการในปัจจุบันผู้ผลิตแก้วมีการจัดการนำเอาแก้วเก่าขวดเก่ามารีไซเคิลได้ใหม่ ซึ่งสามารถลดการนำเอาทรายจากธรรมชาติมาใช้ได้ ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับการที่ลูกค้าเองประสบปัญหาเรื่องต้นทุน ดังนั้นการ นำเอาของเก่ามาใช้ได้ใหม่ และการปรับกระบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้มีความแข็งแรงทนทานเท่าเดิม แต่ใช้วัตถุดิบน้อยลง ราคาที่ถูกลง จึงเป็นทิศทางสำหรับบรรจุภัณฑ์จากธรรมชาติ

ในส่วนของแพ็กเกจจิ้งแบบผสมผสาน เช่น กล่องนมซึ่งประกอบไปด้วยวัสดุ 3 ชนิดก็คือ กระดาษ อะลูมิเนียมฟอยล์ และพลาสติก สามารถแยกออกมาทำใหม่หรือเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น บริษัท เต็ตตราแพ้ค (ไทย) จำกัด ได้พยายามมองหาแนวคิดในการพัฒนาเป็นบรรจุภัณฑ์ ต่างๆ ควบคู่กับการสนับสนุนให้คนเก็บกล่องนมมาขายผ่านซาเล้งเพื่อนำมารีไซเคิลอีกทีหนึ่ง ทั้งนี้วัตถุดิบรีไซเคิลมีจำนวนมากแต่ตลาดของการนำมาใช้พบว่ายังน้อยอยู่มาก

บริการเช่าช่องทางประหยัดพลังงาน

แนวคิดในเรื่องผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม นอกจากจะออกแบบให้มีกระบวนการผลิตที่ช่วยประหยัดพลังงานมาตั้งแต่ต้นแล้ว การให้บริการแบบเช่าโดยการนำเอาผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาแชร์กันใช้ เช่น การให้บริการคอมพิวเตอร์ให้เช่าตามสำนักงาน ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนทุก 3 ปี 5 ปี การเช่าเครื่องถ่ายเอกสาร การเช่ารถของสำนักงานตำรวจก็ดี ก็ใช้หลักการเดียวกัน คือเมื่อใช้จนคุ้มค่าแล้วเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นๆ สามารถนำไปขายต่อเป็นเครื่องมือสอง หรือนำไปแยกชิ้นส่วนเพื่อนำกลับเข้าไปยังกระบวนการผลิตเพื่อนำใช้ใหม่อีกก็ได้ เป็นการประหยัดพลังงานในอีกทางหนึ่ง หรือแม้แต่ปัจจุบันผลิตภัณฑ์จากพลังงาน ทดแทนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของอีโคดีไซน์เช่นกัน

12 มี.ค. 2551

การกำหนดจุดยืนทางด้านกลยุทธ์ Strategic Position

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการบริหารงานภายในองค์กรมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดจุดยืนทางด้านยุทธศาสตร์ขององค์กร (Strategic Position) คือการหาจุดแข็งขององค์กรของท่านที่จะสามารถนำไปใช้ในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยใช้จุดแข็งนั้นเป็นตัวนำสู่ความสำเร็จ ซึ่งยิ่งองค์กรมีจุดยืนที่ชัดเจนมากเท่าไร จะส่งผลให้บุคลากรขององค์กรสามารถเข้าใจตรงกันไม่มีความสับสน กลยุทธ์ต่างๆของบริษัทก็จะต้องสอดคล้องกับ จุดยืนทางด้านกลยุทธ์ จุดยืนทางด้านกลยุทธ์แบ่งออกได้เป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้

1. Cost Leadership การเน้นทางด้านการลดต้นทุน และ ขบวนการธุรกิจที่เป็นเลิศ Operation Excellence คือ การบริหารคุณภาพ และบริการที่เป็นเลิศ แนวการปรับปรุงจะเน้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง Continuous Improvement เช่น Kaizen Total Quality Management TQM

2. เน้นด้าน Innovation สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ ขบวนการผลิตใหม่ มาตรฐานใหม่ ลดขบวนการตัดสินใจ และ ทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆขึ้น อย่างรวดเร็ว ทันควัน ตัวชี้วัดจะเน้น ผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่เกิดขึ้น การออกสินค้าใหม่ก่อนใคร ลดขบวนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ข้อเสนอแนะความคิดใหม่ๆที่เกิดขึ้นโดยพนักงาน

3. เน้นด้านลูกค้า Customer Intimacy สร้างความพอใจให้กับลูกค้า และ ความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ซึ่งจะเน้น ด้านการบริหาร ก่ำเช้งกับลูกค้า สร้างแฟนพันธุ์แท้ให้เกิดขึ้น สัดส่วนรายได้จากลูกค้าหลักและแฟนพันธุ์ รายได้ต่อหัวที่เกิดจากลูกค้าแฟนพันธุ์แท้ Life Time Value และการสร้าง ความพึงพอใจลูกค้าสูงสุด Customer Satisfaction

11 มี.ค. 2551

การวิเคราะห์เชิงปริมาณทางธุรกิจ

ผู้บริหารในยุคข้อมูลข่าวสารจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจ หากผู้บริหารมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือผิดพลาดแล้ว มีโอกาสสูงที่จะตัดสินใจผิดพลาด อันจะส่งผลกระทบการการดำเนินงานและผลประกอบการขององค์กร

ผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จจะให้ความสำคัญกับข้อมูล และตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูล มิใช่ทัศนคติส่วนบุคคลหรือสัญชาติญาณ


ประโยชน์ของการวิเคราะห์เชิงปริมาณทางธุรกิจ
การตัดสินใจนับเป็นงานที่ผู้บริหารไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกๆวันต้องมีการตัดสินใจ

ผู้ที่ทำการตัดสินใจทุกคนย่อมต้องการที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

นักวิชาการจึงพยายามคิดค้นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การวิเคราะห์เชิงปริมาณทางธุรกิจเป็นการรวบรวมเครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสนใจ

สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

การดำเนินงานทางธุรกิจอย่างมืออาชีพ

คุณลักษณะของการวิเคราะห์เชิงปริมาณ
หลักการและเหตุผล: มีหลักในการวิเคราะห์ที่ชัดเจน วิเคราะห์ทุกอย่างด้วยเหตุและผล

เป้าหมาย: มีเป้าหมายในการวิเคราะห์ หรือสามารถวิเคราะห์ได้ว่าการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่

ตัวแปร: การวิเคราะห์จะต้องมีการกำหนดตัวแปร ที่จะใช้ในการวิเคราะห์อย่างชัดเจน

ผลลัพธ์: ผลการวิเคราะห์ชัดเจน ไม่มีการเบี่ยงเบนเนื่องมาจากทัศนคติ ตรวจสอบผลลัพธ์ได้

8 มี.ค. 2551

ความผิดพลาด ที่มักจะเกิดกับ หัวหน้างานใหม่

ปลายปีที่ผ่านมาอาจจะมีผู้อ่านหลายท่าน ได้รับการโปรโมตให้เป็นหัวหน้างาน ซึ่งมีความรับผิดชอบมากขึ้นท้าทายมากขึ้น แต่ก็เป็นหลุมพรางที่หัวหน้างานใหม่หลายคนเพลอตกลงไป แล้วไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้ บทความนี้ขอนำเสนอข้อผิดพลาดต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับหัวหน้างานมือใหม่ เพื่อใช้เตือนใจและป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาขึ้น

1. ความคิดและวิธีการใหม่อาจถูกต่อต้าน หัวหน้างานจะต้องมีความอดทน และมีเทคนิคในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกน้อง

2. หลงอำนาจ ปฏิบัติการเฉียบขาด อันนี้ต้องระวังให้ดี เพราะหากใช้อำนาจมากเกินไป จะก่อให้เกิดแรงต่อต้านจากลูกน้องมากยิ่งขึ้น

3. การชอบลูกน้องบางคนเป็นพิเศษ อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ทำงานควรมีเป้าหมายในการประเมินความสามารถที่ชัดเจน อย่าใช้เพียงความรู้สึกในการตัดสินคน

4. การให้คำมั่นสัญญา อย่าให้คำมั่นสัญญาที่อาจจะทำจริงได้ เพราะจะทำให้ความน่าเชื่อถือหมดไป และจะส่งผลกับการปกครองในระยะยาว

5. ขาดความระมัดระวัง โดยเฉพาะคำพูด ต้องศึกษาเรื่องวาทะศิลป์ในการพูด จะพูดอะไรแบบตอนเป็นลูกน้องเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว

6. การมอบอำนาจ หัวหน้ามักทำทุกอย่าง ปัญหานี้เป็นปัญหาที่พบมากที่สุด เพราะหัวหน้าใหม่อยากแสดงความสามารถและไม่เชื่อใจลูกน้อง แต่การที่หัวหน้าจะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากความเชื่อมั่นในตัวทีมงานรวมถึงลูกน้อง

7. ปัดความรับผิดชอบ อันนี้ต้องกล้าที่จะรับผิด มิใช่รับแต่ความชอบอย่างเดียว

8. ไม่ควบคุมอารมณ์ ต้องอดทนมากขึ้น เพราะมีเรื่องที่มีปัญหารอเขาแก้ไขอยู่อีกมาก หากเราไม่สามารถจัดการอารมณ์ของเราได้แล้ว จะเป็นปัญหากับเราต่อไปในอนาคต

9. พูดไม่เป็น ต้องฝึกฝนการพูด อย่ามองว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ การสื่อสารภายในองค์กรที่มีประสิทธิภาพ เป็นส่วนสำคัญในการประสบความสำเร็จขององค์กร

10. ขาดความอดทน ปัญหามีไว้ให้เราแก้ เขาจ้างเรามาเพื่อแก้ปัญหา ปัญหาจะทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น ขอให้ท่องคำนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ จะทำให้เราอดทนมากขึ้น

7 มี.ค. 2551

ซื้อฟอร์เวิร์ด-ลดต้นทุน-ขึ้นราคา ...กลยุทธ์หนีตายบาทแข็ง

ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3981 (3181)

ซื้อฟอร์เวิร์ด-ลดต้นทุน-ขึ้นราคา ...กลยุทธ์หนีตายบาทแข็ง
พลันที่แบงก์ชาติประกาศยกเลิกมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น 30% เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ โดยประกาศดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2551 ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก คือกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากผลที่จะเกิดตามมาหลังการยกเลิกมาตรการก็คือ ค่าเงินบาท ที่มีแนวโน้มจะแข็งค่า ขึ้นเรื่อยๆ โดยที่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่า ค่าเงินบาทจะไปหยุดที่เท่าไหร่ หรือมีรูมให้วิ่งที่เท่าไหร่ ที่ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาที่จะปรับตัวได้บ้าง

และที่สำคัญไปมากกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่เอสเอ็มอีทุกรายที่มีขีดความสามารถปรับตัวได้ทันกับสภาพค่าเงินบาทที่ผันผวนไปในทางทิศทางลบเช่นนี้

ซึ่งหลังช่วงเวลาดังกล่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในกลุ่มต่างๆ ถึงแนวทางการปรับตัว ซึ่งก็พบว่ามีทั้งรายที่เข้มแข็งพอปรับตัวได้ทัน และก็มีบางราย (ส่วนใหญ่) ที่ต้องปล่อยไปตามยถากรรม

3 วิธีแก้ปัญหาบาทแข็ง

น.พ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด ผู้สร้างสรรค์แพ็กเกจจิ้งไบโอ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่มีพึ่งพาตลาดส่งออกสูงถึง 80-90% จากกำลังการผลิตทั้งหมด กล่าวว่า มี 3 ปัจจัยที่ผมทำทันที หลังจากรัฐบาลได้ส่งสัญญาณที่จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ก็คือ 1.ซื้อฟอร์เวิร์ด 2.ลดต้นทุน และ 3.ปรับราคาขายขึ้น 10-15%

ทั้ง 3 วิธีเป็นการตั้งรับสำหรับเอสเอ็มที่รู้ข้อมูลและมีความเข้มแข็งในระดับหนึ่ง ในการที่จะจับสัญญาณหลังจากที่รัฐบาลใหม่เข้ามา

"จริงๆ ต้องบอกว่า ผมจับสัญญาณ ได้ตั้งแต่ก่อนมีรัฐบาล เพราะเขาได้มีการพูดมาโดยตลอด และพอเขาได้มาเป็นก็ยังพูดต่อ ทำให้ผมตัดสินใจซื้อฟอร์เวิร์ดทันที ทำให้รอบนี้ผมไม่เจ็บตัว" น.พ.วีรฉัตรกล่าวและว่า แต่ทั้งนี้การซื้อฟอร์เวิร์ดก็มีข้อจำกัด ไม่ใช่ทุกรายที่จะซื้อได้ หรือซื้อได้ไม่จำกัด ฉะนั้นสำหรับรายที่เล็กๆ น่าจะมีปัญหาพอสมควร

ส่วนการขึ้นราคาเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว ซึ่งสำหรับแพ็กเกจจิ้งไบโอสามารถทำได้ เพราะมีช่องทางตลาดให้เล่น ส่วนการลดต้นทุนการผลิตนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องทำตลอด แต่ก็ยอมรับต้องลงมาดูในรายละเอียดทุกอย่าง ทั้งเรื่องการขนส่ง เรื่องคน ฯลฯ

แต่ทั้งนี้แม้จะทำทั้ง 3 วิธีก็ยังไม่ครอบคลุมปัญหาทั้งหมด เป็นแค่การบรรเทาอาการให้เกิดภาวะขาดทุนน้อยลงเท่านั้น

ทั้งนี้ น.พ.วีรฉัตรกล่าวให้ความเห็นว่า จากที่รัฐบาลมีนโยบายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้มองว่าการส่งออกสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการก็คือต้องพึ่งพาตัวเอง

"แต่สิ่งที่อยากจะสะท้อนให้รัฐบาลรับรู้ ก็คือ เราในฐานะที่เป็นผู้ส่งออก เราไม่ได้กลัวว่าเงินบาทจะอยู่ที่เท่าไหร่ แต่ที่เรากังวลและเป็นปัญหาก็คือ ค่าบาทที่แกว่ง ไปแกว่งมาไม่หยุดสักที นี่แหละที่เป็นปัญหาที่ทำให้เราทำงานยาก" น.พ.วีรฉัตรกล่าวและว่า

2 ปีมานี้ที่ผมส่งออกแพ็กเกจจิ้งไบโอ ตอนเริ่มส่งออกค่าบาทอยู่ที่ 41 บาท/ เหรียญ แต่ตอนนี้ค่าบาทอยู่ที่ 31 บาทกว่า หายไปประมาณ 10 บาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ประมาณ 25-28% คือรายได้ที่หาย ซึ่งการทำกำไรในการประกอบธุรกิจจริงๆ ก็ไม่ได้มากขนาดนี้ และเวลาทำธุรกิจความเสียหายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำธุรกิจก็เป็นความเสียหายแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะต่างจากความเสียหายจากค่าเงินบาท เพราะมันเกิดแบบทันทีทันใด"

ลดค่าใช้จ่าย-ขายให้น้อยลง

แหล่งข่าวผู้ประกอบการส่งออกผักและผลไม้แปรรูปกล่าวว่า สิ่งที่ทำได้ขณะนี้คือ ลดค่าใช้จ่ายและขายให้น้อยลง และปรับราคาก็สินค้าลอตใหม่ ส่วนลอตเดิมก็ต้องยอมเจ็บตัว

"ที่ต้องเจ็บตัวเพราะสินค้าเกษตรส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายล่วงหน้า สั่งซื้อสินค้าเมื่อ 1-2 เดือนที่แล้วถึงกำหนดส่งช่วงนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องส่ง ไม่ส่งไม่ได้เสียเครดิต หรือถ้าไม่ส่ง สินค้าก็เสียหาย บางตัวถ้าผลิตแล้วก็ต้องยอมขายขาดทุน ขายได้เงินน้อยดีกว่าของเน่าเสียในห้องเย็น" แหล่งข่าวกล่าวและว่า สิ่งที่ต้องดูหลังจากนี้ก็คือ รัฐบาลจะมีมาตรการอะไรออกมาอีกที่เป็นมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ส่งออก แต่เท่าที่ประเมินคงยาก สิ่งที่ต้องทำจึงต้องพึ่งตัวเอง คือพยายามลดค่าใช้จ่ายและขายให้น้อยลง และเลือกขายกับลูกค้าที่คุยกันรู้เรื่อง ยอมที่จะซื้อในราคาที่แพงขึ้นซึ่งลูกค้าแบบนี้มีไม่มาก

ส่งออกแฝงก็เจ็บ

จริงๆ ไม่ใช่เฉพาะผู้ส่งออกทางตรงเท่านั้นที่เจ็บตัว แต่ผู้ส่งออกแฝงย่านประตูน้ำ สำเพ็ง โบ๊เบ๊ จตุจักร ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

แหล่งข่าวผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่งย่านประตูน้ำกล่าวว่า ผลจากค่าเงินบาทที่ผันผวนทำให้ลูกค้าต่างชาติตัดสินใจซื้อสินค้าได้ยากขึ้น

"เมื่อก่อนหอบเงินดอลลาร์ 1 ดอลลาร์ แลกเงินไทยได้ 38-39 บาท กลับมาอีกครั้งเหลือ 31-32 บาท หายไป 7-8 บาท ทำให้ต่างชาติคิดแล้วคิดอีก กดเครื่องคิดเลขซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะซื้อดีหรือเปล่า และก่อนจะตัดสินใจซื้อ ก็ขอต่อราคา ขอลดแล้วลดอีก ยอมรับเลยว่าขายยากขึ้น" แหล่งข่าวกล่าวและว่า เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่า เราขายเงินบาท ไม่ได้รับผลกระทบนั้นไม่จริงเลย

ส่วนการปรับตัวก็คือ พยายามลดต้นทุน เน้นทำสินค้าคุณภาพ และหนีคู่แข่งจีน ด้วยการออกสินค้าใหม่ที่ไม่ซ้ำกับจีน

"มีลูกค้าต่างชาติในกลุ่มยุโรป จำนวนเยอะเหมือนกันที่เคยหนีไปซื้อจีน สุดท้ายก็กลับมาไทย เพราะคุณภาพเราดีกว่า แต่สิ่งที่เราต้องบอกให้เขาเข้าใจก็คือ ต้นทุนเราเพิ่ม ดังนั้นยอมซื้อเราแพงนิดหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาจะได้คือ คุณภาพ" แหล่งข่าวกล่าว

6 มี.ค. 2551

การเรียนรู้และการสอนงานภายในองค์กร

คนเราเรียนรู้ได้อย่างไร

การเรียนรู้: การเรียนคือการเพิ่มทักษะ ความรู้และทัศนคติ คนเราสามารถจะฝึกฝนทักษะ รับความรู้และทัศนคติ โดยผ่านประสาทสัมผัส (Senses) มอง ฟัง สัมผัส ลิ้มรส และดมกลิ่น

ประโยชน์ของการสอน
ประโยชน์กับพนักงาน
1. เพิ่มความพอใจในการทำงาน
2. เพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงาน
3. เพิ่มสมรรถภาพในการทำงาน
4. ใช้อุปกรณ์การทำงานได้อย่างปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ
ประโยชน์ต่อผู้สอน
1. ทำให้งานของผู้สอนง่ายขึ้น
2. ได้รับคำตำหนิน้อยลง
3. ผู้สอนได้ฝึกทักษะการเป็นผู้นำ
ประโยชน์ต่อเจ้าของ
1. เพิ่มผลกำไร
2. ผลการปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
3. ใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
4. ลดการสูญเสีย
5. ลดคำตำหนิ
6. ลดอัตราการหมุนเวียนพนักงาน

องค์กรที่จะสามารถประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน จะต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อให้องค์กรสามารถพัฒนาไปสู่เป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง

5 มี.ค. 2551

พูดจาดีจะเป็นศรีแก่ตัว

พูดจาดีจะเป็นศรีแก่ตัว
เรื่อง : ประณม ถาวรเวช สถาบันพัฒนาบุคลิก

คนโบราณเคยเตือนสติในเรื่องการพูดจาเอาไว้ให้จำกันได้ง่ายๆ ว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย” หลายคนมาแผลงเป็น “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี”
จะยึดคำกล่าวไหนก็ได้ค่ะ เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่การ “พูดให้ดี”
ทำไมต้องพูดให้ดี...
เพราะการพูดให้ดีนั้น ฟังแล้ว “เข้าหู” ชวนฟัง ชวนให้คล้อยตาม ชวนให้รู้สึกประทับใจ และก่อให้เกิดสิ่งดีๆ ตามมาได้อีกมากมาย
การพูดเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตค่ะ เพราะตลอดทั้งชีวิต เราต้องอาศัยการพูดเป็นการสื่อสารที่สำคัญ
พูดไม่เป็น พูดไม่เข้าหูคน สื่อสารไม่สัมฤทธิผล วกไปวนมา หาประเด็นไม่ได้ ท่าทางชีวิตจะย่ำแย่ ดังนั้น มาเรียนรู้การพูดการจาให้เป็นสง่าราศีแก่ชีวิตดีกว่าค่ะ
1.คนจะพูดดีได้ต้องเริ่มจากคิดดี
ไม่มีประโยชน์ที่เราจะเริ่มต้นจากการคิดร้าย แม้กับคนที่เราไม่ถูกชะตาด้วยที่สุด ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องพูดจาไม่ดีกับเขา การคิดดีถือเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ เป็นพื้นฐานของจิตใจที่ดีงาม ใครก็ตามที่รู้จักคิดดี เขาก็จะเห็นแง่งามของโลก ของชีวิต ของตนเอง และของผู้อื่น เมื่อเห็นแง่งามหรือแง่ดีของสิ่งต่างๆ เขาก็ย่อมมีทัศนคติที่ดี มีท่าทีที่ดี และเมื่อต้องพูดจาเสวนากัน เขาก็ย่อมพูดจาดี
การพูดจาดี ไม่เพียงแต่สะท้อนการให้เกียรติและเคารพในตัวคนอื่น แต่ยังสะท้อนการให้เกียรติและเคารพตนเองอีกด้วย คนจะพูดจาดีได้ ต้องได้รับการอบรมมาดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า บุคลิกภาพดีๆ เริ่มต้นที่ครอบครัว การพูดจาดีก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเริ่มจากในบ้าน พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างของคนที่พูดจาดีๆ ต่อกัน ต้องเป็นผู้ชี้แนะคุณค่าของการพูดดี
พูดดีในที่นี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าพูดเพราะ พูดคำสุภาพ มีน้ำเสียงที่สุภาพ มีหางเสียงครับ ค่ะ จ๊ะ จ้ะ เพื่อแสดงความมีมารยาท มีไมตรีจิต ไม่พูดคำหยาบ ไม่ใส่ร้าย ไม่ตะคอกตะเบ็งใส่กัน ไม่ประชดประชัน ไม่โกหกพกลม คนจะพูดดีเช่นนี้ได้จะคิดร้ายอยู่ในใจไม่ได้แน่นอน เพราะความร้ายกาจในใจจะเผยมาทางคำพูด น้ำเสียง แววตา หรือท่าทีขณะที่พูดได้ จึงจำเป็นต้องฝึกตนให้เป็นคนคิดดี
2.พูดถูกกาลเทศะ
ไม่ใช่ตลอดเวลาหรอกนะคะ ที่คนเราจะพูดได้ ต้องมีบ้างบางขณะที่เราหยุดพูด เพื่อเป็นผู้ฟังคนอื่นพูดบ้าง คนบางคนถูกตั้งข้อสังเกตว่า “ผีเจาะปากมาพูด” คือพูดๆๆๆๆ ฟังไม่เป็น ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นพูด ทำตัวเป็นผู้รู้ไปหมดทุกเรื่อง จึงพูดอยู่ตลอดเวลา คนแบบนี้น่ารำคาญ จริงไหมคะ
อย่าทำตัวน่ารำคาญ ด้วยการพูดจาไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ดูวาระและโอกาส คนพูดเป็นจะรู้ว่าโอกาสไหนควรพูด โอกาสไหนควรฟัง และโอกาสไหนควรวางเฉย คนที่รู้จักพูดเขาจะดูสถานที่ และเลือกวิธีพูดจาให้เหมาะสมกับผู้ฟังและสถานที่ ผู้ฟังที่อาวุโสกว่าเรา เราต้องพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงอย่างหนึ่ง เป็นเพื่อนกันก็พูดอย่างหนึ่ง เป็นน้องเป็นนุ่งเราก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง พูดในที่ประชุมจะเหมือนพูดในกลุ่มเพื่อนไม่ได้ พูดคุยกับเพื่อนก็อย่าทำตัวน่าเบื่อเหมือนบรรยายวิชาการ การปรับตัวหรือพลิกแพลงตามสถานการณ์ที่ต่างกันไปเหล่านี้ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้
หลักการพูดให้ถูกกาลเทศะทำได้ง่ายๆ คือ ดูว่าเราต้องพูดในหัวข้อไหน เรื่องอะไร พูดที่ไหน ใครฟัง ผู้ฟังกี่คน ฟังกันในที่เปิดเผย หรือในห้องจำกัด พูดสั้นหรือพูดยาว จริงจังหรือกันเอง ใครอ่านสถานการณ์ออก เตรียมตัวพร้อม ก็สามารถพูดจาได้น่าจดจำตามวาระและโอกาสนั้นๆ ได้เสมอ
3.พูดมีเนื้อหาสาระ
ห้ามพูดเรื่อยเปื่อย ไม่ว่าจะคุยกันกับเพื่อน ผู้ร่วมงาน พ่อแม่ หรือพูดในที่ประชุมหรือที่สาธารณะ ก็ต้องมีเป้าหมายในการพูด พูดอย่างมีสาระ มีขอบเขตชัดเจนว่าต้องการสื่อสารเรื่องอะไร หรือต้องการจะบอกกับผู้ฟังว่าอะไร
4.พูดจาให้น่าฟัง
น้ำเสียงที่กังวานแจ่มใส ดังพอประมาณ พูดจาฉะฉานชัดเจน จะดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้มาก การพูดในบางครั้งต้องพูดปากเปล่า แต่บ่อยครั้งก็ต้องพูดผ่านไมโครโฟน หากมีโอกาสฝึกฝนเรื่องการใช้เสียงอย่างเหมาะสมทั้งแบบปากเปล่าและผ่านไมโครโฟนได้ก็ควรทำ เพราะการพูดผ่านไมโครโฟนนั้น ต้องมีระยะใกล้ไกลระหว่างปากกับไมโครโฟนที่พอเหมาะ เสียงจึงจะชัดเจน ไม่มีเสียงเสียดแทรกจนผู้ฟังรู้สึกไม่สบายหูหรือรำคาญ
ในการพูดนั้น ควรมีการเน้นจังหวะและเว้นจังหวะ เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ ชวนติดตาม ควรฝึกลมหายใจระหว่างการพูด อย่าให้ติดขัด ดูเหมือนหอบเหนื่อย หรือกักลมหายใจจนผู้ฟังเห็นแล้วอึดอัด หรือรู้สึกเหนื่อยแทน การออกเสียงอักขระ ร เรือ ล ลิง และคำควบกล้ำต้องชัดเจน ลองฝึกอ่านออกเสียง หรือพูดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในเทป แล้วเปิดฟังบ่อยๆ จะพบข้อบกพร่องและแก้ไขได้ง่าย
5.พูดให้เกิดความรู้สึกร่วม
วิธีการง่ายๆ คือ สบตากับผู้ฟังอย่างทั่วถึง ตั้งคำถามในขณะพูดแล้วค่อยๆ อธิบายเพื่อนำไปสู่คำตอบ สอบถามผู้ฟังบ้างในบางหัวข้อที่ง่ายๆ หรือเป็นเรื่องของประสบการณ์ เป็นเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ใช่เรื่อง ซึ่งเมื่อตอบแล้วอาจถูกหรือผิด
ผู้พูดจำเป็นต้องรู้พื้นภูมิของผู้ฟังบ้าง เพื่อพูดในภาษาที่เขาเข้าใจง่าย บางครั้งการพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี รู้สึกเป็นกันเอง อย่าพูดไทยผสมกับภาษาต่างประเทศโดยไม่อธิบาย เลือกใช้ภาษาต่างประเทศเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และยกตัวอย่างที่คาดว่าผู้ฟังน่าจะมีประสบการณ์ร่วม อย่ายกตัวอย่างไกลตัว
การพูดเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนเรา เป็นภาพฟ้องอุปนิสัยใจคอ จึงไม่อาจพูดจาเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย ไร้การระมัดระวังได้
การพูดนำมาซึ่งมิตรและศัตรู แต่ก็นั่นแหละ เราเลือกได้นี่คะ ว่าจะพูดให้ได้เพื่อน หรือพูดให้ได้ศัตรู
การพูดทำให้คนเราดูดี หรือดูแย่ได้ทั้งนั้น
อยู่ที่ว่าเราจะเลือกอะไร

4 มี.ค. 2551

เศรษฐกิจการพนัน

รังสิมันตุ์ กิ่งแก้ว 3/12/2546

ในทางเศรษฐศาสตร์มีสินค้าบางประเภท ที่นอกจากผู้บริโภคจะได้รับอรรถประโยชน์(Utility) จากการบริโภคสินค้านั้นแล้ว ผู้ที่ไม่ได้บริโภคสินค้าเหล่านั้น(หรือสังคม)จะได้รับผลกระทบด้วย หรือเรียกว่ามีผลกระทบภายนอก (Externality) โดยผลกระทบภายนอกอาจจะมีทั้งทางบวก คือทำให้อรรถประโยชน์สังคม (Social Utilities) สูงขึ้น หรือเรียกว่า “สินค้าที่มีผลดีต่อสังคม” (Merit Goods) ส่วนสินค้าที่มีผลทางลบ จะทำให้อรรถประโยชน์สังคม (Social Utilities) ต่ำลง หรือเรียกว่า “สินค้าที่มีภัยต่อสังคม” (Demerit Goods)โดยสินค้าที่มีภัยต่อสังคม หากปล่อยให้มีการผลิตอย่างเสรีจะมีการผลิตมากเกินไป ตรงกันข้ามกับสินค้าที่มีผลดีต่อสังคม ที่หากปล่อยให้มีการผลิตอย่างเสรีจะมีการผลิตน้อยเกินไป ดังนั้นสำหรับสินค้าที่มีผลกระทบภายนอกหากปล่อยให้กลไกตลาดทำงานอย่างเสรี จะทำให้อรรถประโยชน์ของสังคมต่ำกว่าที่ควรจะเป็น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงการผลิตของสินค้าทั้งสองประเภท เพื่อให้สังคมได้รับอรรถประโยชน์สูงสุด (Maximize Social Utilities)

การพนันเป็น “สินค้าที่มีภัยต่อสังคม” ประเภทหนึ่ง ซึ่งส่งผลในให้อรรถประโยชน์ของสังคมต่ำลง จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะเข้ามาควบคุม การควบคุมเรื่องการเล่นพนัน ควรจะไม่ให้มีกิจกรรมนี้ภายในประเทศ แต่ในทางปฏิบัติไม่มีประเทศไหนสามารถขจัดการพนันให้หมดไปจากสังคมได้ หากแต่สามารถควบคุมการเล่นพนันให้อยู่ในกรอบ

การที่รัฐจะสามารถควบคุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสังคมได้นั้น เจ้าหน้าที่รัฐผู้ควบคุมกฎหมายจะต้องบังคับใช้กฎที่มีอยู่อย่างเข้มแข็ง แต่การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ค่อนข้างจะย่อหย่อน เป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับประเทศไทย ซึ่งหากตั้งใจจริงในการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ ปัญหาที่ว่ายาก ตำรวจไทยก็สามารถแก้ได้ เช่น การปราบปรามยาเสพติด ที่ทำได้เห็นผลอย่างชัดเจน แต่การบังคับใช้กฎหมายกับนักพนันก็เป็นเรื่องยาก เพราะสังคมยังไม่รู้สึกว่าการพนันเป็นความผิดร้ายแรง บางคนสนับสนุนให้ทำอย่างถูกกฎหมาย ที่สำคัญที่สุดคือ การคงอยู่ของ “ธุรกิจใต้ดิน” เป็นผลมาจากการได้รับความคุ้มครองจากผู้รักษากฎหมาย ตราบใดที่ผู้รักษากฎหมายยังได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจนอกกฎหมาย ธุรกิจนอกกฎหมายก็จะยังคงอยู่ในสังคมไทยต่อไป
การที่รัฐพยายามจะจัดการให้ “เศรษฐกิจการพนัน” กระทำอย่างถูกกฎหมาย ต้องคิดอย่างรอบคอบว่าจะมีวิธีการจัดการอย่างไร เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสังคม โดยเฉพาะกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และอีกส่วนที่มีความสำคัญ คือ การจัดสรรรายได้ของรัฐจำนวนมหาศาลที่เกิดจาก “เศรษฐกิจการพนัน”

เงินที่รัฐสามารถจัดเก็บได้ จากการนำ “เศรษฐกิจการพนัน” มาทำให้ถูกกฎหมาย อาจจะแยกได้เป็นสองส่วน ส่วนแรก คือ กำไรหรือภาษีที่จัดเก็บได้ จากธุรกิจประเภทนั้น และ ส่วนที่สอง คือ เงินหมุนเวียนและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่จะเกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าเงินทั้งสองส่วนจะเป็นเงินนับแสนล้านบาท หากนำทั้งโต๊ะบอลและบ่อนคาสิโน มาทำให้ถูกกฎหมาย เนื่องจากเม็ดเงินหมุนเวียนที่เล่นกันอยู่ใน “เศรษฐกิจการพนัน” มีจำนวนมากถึง 1.5 ล้านล้านบาท และหากคิดกำไรแล้วในแต่ละปีจะมีกำไรถึง 3.4 แสนล้านบาท
การนำเงินส่วนหนึ่งมาชดเชยให้กับสังคมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพื่อลดผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากการนำธุรกิจผิดกฎหมายมาทำให้ถูกกฎหมาย โดยพยายามจัดสรรเงินในส่วนนี้ไปสนับสนุน (Subsidy) การผลิต “สินค้าที่มีผลดีต่อสังคม”(การศึกษา การสาธารณสุข และการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ) ซึ่งอาจจะแบ่งเงินออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกนำเงินไปพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อยกระดับพื้นฐานทางด้านความคิดของเยาวชนในประเทศ ให้รับรู้ถึงผลกระทบของการเป็นทาสของ การพนัน ส่วนที่สองควรนำเงินไปสนับสนุนทางด้านสาธารณสุขของประเทศ ส่วนสุดท้ายนำไปจัดแบ่งให้กับข้าราชการตำรวจที่จะต้องรับผิดชอบในการดูแลสังคมที่เพิ่มขึ้น

เงินใน “เศรษฐกิจการพนัน” มีความเกี่ยวโยงถึงกันระหว่างนักการเมืองระดับชาติกับนักการเมืองท้องถิ่น และนำมาสู่การแสวงหาผลประโยชน์ในด้านอื่นๆ จนทำให้ “เศรษฐกิจการพนัน” มีการขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ การที่รัฐจะเข้ามาจัดการเป็นเรื่องที่ดี แต่จะต้องมีความโปร่งใส เพราะมีนักการเมืองในรัฐบาลอาจจะได้รับผลประโยชน์ บนความเสื่อมถอยของสังคมไทย…

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเรียนรู้

การเรียนรู้ เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ขององค์กร การเรียนรู้ที่ประสบความสำเร็จหรือมีประสิทธิภาพมีองค์ประกอบหลายประการ บทความนี้จึงอยากนำเสนอปัจจัยต่างๆที่จะมีผลกระทบกับการเรียนรู้ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ

ปัจจัยที่ช่วยในการเรียนรู้
1. มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
2. มีเหตุมีผลกระชับและขัดเจน
3. ใช้อุปกรณ์ช่วยการสอน
4. การกระตุ้นผู้เรียนด้วยการชมเชย และดึงดูดความสนใจ
5. การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้

ปัจจัยขัดขวางการเรียนรู้
1. ความกลัวและกังวล
2. เสียงรบกวน
3. การขัดจังหวะการเรียน
4. สิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ
5. ขาดการวางแผนงานที่ดี
6. ความอ่อนเพลีย
7. สมรรถภาพทางร่างกาย
8. ปัญหาส่วนตัว

เมื่อเรารู้ถึงปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แล้ว เราจะสามารถวางแผนเพื่อให้การเรียนรู้ภายในองค์กรมีประสิทธิภาพมากที่สุดได้

3 มี.ค. 2551

The Future of HR เรียนลัดพัฒนา "ทุนมนุษย์" กับกูรู

The Future of HR เรียนลัดพัฒนา "ทุนมนุษย์" กับกูรู
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource-HR) แม้จะเป็นทัพหลังแต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้ทัพหน้าเช่นกัน

โดยเฉพาะในวันที่โลกหมุนเร็ว HR จะมานั่งปิดหูปิดตา คลำทำงานเดิมๆ อย่างดูแลพนักงานแค่ขาดลามาสายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แต่ต้องมองหาวิถีทางใหม่ๆ ในการพัฒนาตนเองและองค์กรให้เหมาะสมกับบทบาทใหม่ในอนาคตให้ทันเกมธุรกิจมากขึ้น

"รัฐ ดำรงศรี" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์พัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ จำกัด ในฐานะผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการ HR และเทรนนิ่งมานาน ได้เปิดมุมมองในเรื่องนี้อย่างน่าคิดว่า ชั่วโมงนี้ HR ไม่มีเวลามานั่งทำงานรายวันเช่นเดิมแล้ว ต้องมองอนาคตให้ทะลุเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร

บนโลกของการแข่งขัน สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป HR จำเป็นต้องพลิกบทบาทของตัวเองทำงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ดูแลพนักงานขาดลามาสาย แต่ต้องทำงานทั้ง HRD (human resource development) HRM (human resource management) retraining management, career path development เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของคนในองค์กร เพราะพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่แตกต่างจากคนรุ่นเก่าอย่างสิ้นเชิง ระยะเวลาการทำงานของพวกเขาสั้นมากเพียง 3 ปี 5 ปี มีรอบการเทิร์นโอเวอร์จึงสูง ในขณะที่คนรุ่นเก่ามักจะอยู่จนเกษียณอายุ

อีกด้านหนึ่งเดิมอาจจะมีอายุการทำงานแค่ 60 ปี แต่ปัจจุบันได้มีการขยายกรอบออกไปเป็น 65 ปี 70 ปี ทำให้ HR ต้องบริหารคนในบริบทที่เปลี่ยนไป

วันนี้หากจะถามถึงเบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรต่างๆ ต้องยอมรับว่า HR มีบทบาทที่สำคัญไม่ใช่น้อย เพราะหากองค์กรไม่มีคนดี คนเก่ง ไม่มีการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การสร้างแต้มต่อในเชิงธุรกิจก็มีความเป็นไปได้ น้อยมาก

ด้วยเหตุนี้ทำให้มีโปรแกรมเทรนนิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ทั้ง talent manager การสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน การพัฒนาแคเรียร์พาร์ต เรื่องความเป็นผู้นำ

แต่ทว่าเอาเข้าจริงหลายหลักสูตร กลับทำให้องค์กรต้องร้องโอดโอยเพราะต้องสูญเงินไปเปล่าๆ ปีละนับล้านบาทแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นในองค์กรเลย

"รัฐ" วิเคราะห์ว่าปัญหาส่วนหนึ่งน่าจะมีมูลเหตุจากการไปอิมพอร์ตหลักสูตร ต่างชาติเข้ามา เช่น competency base เมื่อนำมาใช้กับองค์กรในเมืองไทยก็พบทั้งข้อดี พบทั้งปัญหามากมาย ศูนย์พัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจึงได้เตรียมจัดสัมมนาใหญ่ "แนวทางและทิศทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต" (The Future of HR) ขึ้นในวันที่ 18 มีนาคมนี้ เวลา 13.00-16.00 น. ณ อาคารชินวัตร 3 เพื่อให้ HR และผู้ที่ทำงานเกี่ยวเนื่องกับ HR หันกลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองว่าในอนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เพราะสิ่งที่หยิบยืมจากต่างชาติมาใช้อาจจะไม่ใช่ความสำเร็จเสมอไป

งานสัมมนาครั้งนี้พยายามจะจัดให้ครบเครื่องที่สุด มีการระดมผู้ทรงวุฒิและผู้บริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ที่โดดเด่นจากองค์กรชั้นนำของประเทศไทยใน หลากหลายด้านมาร่วมแสดงทรรศนะ

อาทิ รศ.ไว จามรมาน ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะมาพูดในมุมมองของภาครัฐว่ามีบทบาทอย่างไรในอนาคต สรวุฒิ หรณพ ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ บริษัท ฮิวเลตต์- แพคการ์ด จำกัด จะฉายภาพของ HR ในโลกดิจิทัลว่าเป็นอย่างไร

ปรีชา ธนสุกาญจน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบุคคล บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด จะมาร่วมแชร์ไอเดียในส่วนธุรกิจ

อสังหาริมทรัพย์ว่ามีการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่มีความหลากหลายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจำนวนกว่า 2,000 คน ซึ่งแต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

และอีกคนหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ บดี ตรีสุคนธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ธนาคารเกียรตินาคิน จะคุยให้ฟังถึงการจัดการคนในระบบสถาบันการเงิน

โดยประเด็นเสวนาจะเน้นไปในเรื่องทิศทางและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน บทบาทของ HR ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบันและในอนาคต อุปสรรคและปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นวันนี้และที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เรื่องแนวทางการพัฒนาคนขององค์กรในอนาคต

ภาคเช้าจะเป็นการเสวนาในหัวข้อ "บทบาทของ HR มืออาชีพในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบันและในอนาคต" ว่าด้วยทิศทางและการเปลี่ยนแปลงในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นไป และบทบาทของ HR ในศตวรรษที่ 21 ในการมีส่วนร่วมต่อการสร้างความสำเร็จขององค์กรได้อย่างไร รวมถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการบริหารคนใหม่ๆ ที่จะทำกันต่อไป

ส่วนช่วงบ่ายจะโฟกัสไปที่การพัฒนาคนโดยตรง ภายใต้หัวข้อ "แนวทางการพัฒนาคนขององค์กรในอนาคต" เพื่อให้ ผู้เข้าร่วมสัมมนารับรู้ร่วมกันว่าอะไรคือแนวทางการพัฒนาคนที่องค์กรชั้นนำได้ดำเนินการกันอยู่ และมีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไรหรือไม่ต่อโปรแกรมการพัฒนาต่างๆ ที่ได้ดำเนินงานไป จากนั้นเปิดให้ผู้เข้าร่วมสัมมนามีการซักถามและแสดงความคิดเห็น

"ในอดีตมีโปรดักต์ดีก็ขายได้ ต่อมา โปรดักต์ดีใครๆ ก็ผลิตได้ หลายองค์กร เริ่มหันมาเน้นเซลส์ฝีมือดี ผ่านไปสักพักทุกองค์กรก็มีเซลส์มือทองเหมือนกันหมด องค์กรต่างๆ ก็หันมารุกด้านมาร์เก็ตติ้ง การสร้างแบรนด์ สุดท้ายทุกองค์กรก็ เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน วันนี้ทุกองค์กรเชื่อแล้วว่า องค์กรจะประสบความสำเร็จได้ต้องขึ้นอยู่กับคน คนที่มีภาวะผู้นำ คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ การให้ความรู้เรื่องต่างๆ กับคนในองค์กรจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง"

กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์พัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ จำกัด ชี้ให้เห็นความสำคัญในการพัฒนาคนในทศวรรษนี้พร้อมบอกต่อว่าช่วงหลังๆ องค์กรต่างๆ จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการคิดเชิงกลยุทธ์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ค่อนข้างมาก เริ่มหันมามองอะไรที่จับต้องได้ยากมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี

ทุกวันนี้ HR จึงต้องตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลา

ทำอย่างไร "คน" จึงจะสะท้อนแบรนด์ขององค์กร

ทำอย่างไร "คน" จะปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาขององค์กรไทย

ทำอย่างไร "คน" จะรักภักดีกับองค์กร

ทั้งหมดล้วนแต่เป็นภารกิจของ HR ยุคใหม่ทั้งสิ้น งานนี้จึงเชื่อว่าจะมีผู้สนใจ

เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 200 คน เพราะเวทีนี้ทุกคนจะได้มีโอกาสได้แชร์ไอเดียใหม่ๆ เพื่อให้ก้าวต่อไปในปี 2008 อย่างมั่นคงและยั่งยืน

1 มี.ค. 2551

แรงผลักดันด้านต้นทุน เราจะรับมืออย่างไร? (จบ)

แนวโน้มต้นทุนของธุรกิจ โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะคงตัวในระดับสูงอยู่ต่อไป เราได้ทราบวิธีการบางส่วนในการรับมือกับแรงผลักดันทางด้านต้นทุน จากบทความก่อนหน้านี้ ครั้งนี้เราจะมาทราบวิธีการอื่นๆ เพิ่มเติมในการรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น

1. หาแหล่งวัตถุดิบจากต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจึงมีต้นทุนต่ำลง

2. การทำให้ทรัพยากรบุคคลของบริษัททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาจจะมีการ Traning พนักงานตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับผู้บริหาร

3. หันมาใช้พลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านโรงงาน สามารถใช้พนักงานทดแทนได้มาก อันได้แก่พลังงานหมุนเวียน

4. Recycle and Re-used เป็นสิ่งที่ทุกบริษัทรู้ แต่กลับไม่ได้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง หากนำมาปฏิบัติกันอย่างจริงจังจะสามารถลดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้มาก

5. ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการลดต้นทุนทางด้านต่างๆ โดยเฉพาะต้นทุนในการประชาสัมพันธ์สามารถลดลงได้มาก หากเปลี่ยนมาใช้การประชาสัมพันธ์ทางอินเตอร์เน็ต

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านสามารถรับมือกับแรงผลักดันทางด้านต้นทุนได้ดีขึ้น